ไพ่ชุดหลักอย่าง Major Arcana เป็นไพ่ชุดที่มีคนพยายามตีความสัญญะที่แฝงเร้นในไพ่มากมาย ทั้งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา หรือการถอดหลักปรัชญาอันเป็นความลึกลับระหว่างไพ่ชุด Major Arcana กับ 22 เส้นทางของ Tree of Life ใน Kabbalah
หนึ่งในการตีความที่น่าสนใจและเป็นที่ยอมรับมาจากเธอคนนี้ 'Edan Gray' เธอเขียนตอนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "A Complete Guide to the Tarot" เมื่อปี 1970 ซึ่งเธอได้ให้คำจำกัดความไพ่ชุด Major Arcana เอาไว้ว่าเป็น "The Fool's Journey" ซึ่งก็คือการเดินทางของ The Fool จนถึง The World เปรียบเสมือนวัฏจักรของมนุษย์ เป็นเส้นทางแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิด แก่ ไปจนกระทั่งเราละทิ้งกายสังขารจากโลกใบนี้ไป เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตผ่านไพ่ทั้ง 22 ใบ โดยมีตัวละครหลักอย่าง The Fool ที่ถ่ายทอดชีวิตจากจุดเริ่มต้นที่เป็นเสมือนคนไร้ซึ่งประสบการณ์ อ่อนต่อโลก และยังเยาว์วัย สู่การเดินทางไกลผ่านประสบการณ์มากมายจนไปสิ้นสุดที่ The World ที่เราจะเข้าใจคำว่าสัจธรรมของชีวิตอย่างถ่องแท้ การสิ้นสุดของมนุษย์ก็เพียงเพื่อนำไปสู่ The Fool คือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ตัวดรีมเองรู้สึกว่านี้เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจ และสามารถทำให้คนที่ไม่เคยศึกษาไพ่ทาโรต์มาก่อนเข้าใจได้ง่าย การมองไพ่ให้เป็นเสมือนการมองเรื่องราวชีวิตของมนุษย์เอง ช่วยทำให้ไพ่เข้าถึงได้ และเข้าใจปรัชญาชีวิตมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นเรามาร่วมเดินทางไปด้วยกันนะคะ
การเดินทางของคนเขลา
The Fool คือการเริ่มต้น การกำเนิดขึ้นมา และความเยาว์วัยที่มาพร้อมกับความไม่รู้ประสา ไร้ซึ่งประสบการณ์ ดังนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องลองเรียนรู้ลองผิดลองถูก ไม่ต่างจากคนขลาดเขลาไม่เข้าใจโลก เมื่อได้มาเจอกับ The Magician บุคคลพิเศษที่มีหน้าที่สำคัญในการเป็นตัวกลางระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ผู้มีความเข้าใจในธรรมชาติ เขาคือตัวแทนของการสื่อสาร หลังจากมนุษย์เกิดมา การสื่อสารคือสิ่งแรกที่เราทำ เราร้องไห้เมื่อเราหิว เมื่อเราโตขึ้นอีกหน่อยเราก็สามารถบอกความต้องการของเราได้ และเพราะการสื่อสารเช่นกันทำให้มนุษย์เข้าใจกัน ถ่ายทอดปัญญาและการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไพ่ใบนี้จึงเป็นพลังงานขั้วบวก ที่สอนให้ The Fool กล้าแสดงออกและลงมือทำ และเรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์ ในขณะที่ The High Prietress คือพลังงานขั้วลบ ไม่ได้หมายถึงบวก=ดี หรือลบ=เลว แต่พลังงานขั้วบวกและขั้วลบคือพลังงานขั้วตรงข้ามที่เราต้องมีเพื่อความสมดุล มีผู้หญิงต้องมีผู้ชาย มีขาวต้องมีดำ มีหยินต้องมีหยาง เธอจึงเป็นขั้วตรงข้ามที่แสดงถึงการตระหนักรู้ภายใน และความรู้สึกที่ไม่ได้จับต้องได้เป็นรูปธรรม มนุษย์เองมีการเรียนรู้จากประสบการณ์และเรียนรู้จากสัญชาติญาณ เธอคือตัวแทนของสัญชาติญาณและจิตใต้สำนึกที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเรา The Empress เป็นตัวแทนของมารดา มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีแม่ผู้ให้กำเนิด อีกทั้งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กว่าจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ต้องผ่านการดูแล สั่งสอน ประคบประหงมหลายสิบปี เธอจึงสอนสอนให้ The Fool ได้เข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของความเป็นแม่ คือการเป็นผู้ให้และการดูแลผู้อื่น The Fool จึงได้เรียนรู้จักกับความอ่อนโยน และแน่นอนว่าเมื่อมีแม่ย่อมต้องมีพ่อ The Emperor คือตัวแทนของการเป็นบิดา บทบาททางเพศของความแข็งแกร่ง ความเป็นผู้นำ และความรับผิดชอบ ดังนั้น The Fool เองจะได้เรียนรู้ถึงแบบแผนในชีวิต วินัยต่างๆที่จะหล่อหลอมให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป
เมื่อเราออกจากอกพ่ออกแม่และก้าวเข้าสู่สังคม The Hierophant ก็เปรียบเสมือนโรงเรียน สถานที่แรกๆนอกจากบ้านที่เราจะต้องไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นที่ๆ จะช่วยขัดเกลาคุณธรรมให้กับเรา ให้ความรู้แก่เรา ช่วยแนะนำสิ่งที่เราควรทำ หรือค่านิยมต่างๆที่ควรยึดถือ ยังรวมไปถึงการสอนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และศาสนา สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่ออยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อเรากำลังก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเต็มตัว The Lovers คือตัวแทนของความสัมพันธ์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราโหยหาการยอมรับ โหยหาเพื่อน และโหยหาคู่ The Fool เองก็ต้องเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต และบทเรียนจากความสัมพันธ์เหล่านี้เช่นกัน และ The Fool จะรู้ว่าความรักความสัมพันธ์ไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบเสมอไป The Chariot ในแง่หนึ่งการที่อัศวินพยายามควบคุมสฟิงซ์สีขาว-ดำ ก็เป็นสิ่งที่เขาจะสอนให้ The Fool เข้าใจว่าทุกอย่างไม่ได้มีเพียงด้านเดียว The Chariot จะสอนให้ The Fool อยู่กับความแตกต่างและจัดการความขัดแย้งให้ได้ อีกทั้งยังสอนให้ The Fool เข้าใจว่า อุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาก็เป็นรสชาติหนึ่งของชีวิต หากเรามีจิตใจมุ่งมั่นและเข้มแข็งเราก็จะผ่านอุปสรรคไปได้ ดังนั้น The Chariot คือคนที่จะสอนให้ The Fool เข้าใจความเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ส่วน Strength คือความมั่นใจ และความกล้าหาญ เธอเข้าใจว่าชีวิตนั้นไม่ได้อะไรมาง่ายๆ ผู้อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้ให้กับความโหดร้ายของโลกใบนี้ เธอเป็นหญิงสาวที่มีอำนาจและแข็งแกร่ง เพราะเธอสามารถอยู่เหนือสิงโตเจ้าป่าได้ หากแต่เธอก็ไม่ได้ใช้กำลังบังคับสิงโตให้เชื่องแต่อย่างใด ความแข็งแกร่งอาจไม่ได้มาจากร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงใจที่แข็งแกร่งอีกด้วย ยิ่งเราแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ต้องมีเมตตาและมีความอ่อนน้อม และต้องใช้ปัญญาให้มากกว่าการใช้กำลัง ดั่งใจเห็นได้จากเธอปฏิบัติกับสิงโตด้วยความนุ่มนวล
จากไพ่ The Fool มาจนถึง Strength ได้ผ่านการเรียนรู้ชีวิตจนเป็นผู้ใหญ่ในระดับนึงแล้ว และยิ่งเราเติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมากเท่าไหร่ เราก็ค่อยๆหลงลืมความสดใสของความเป็นเด็กไปด้วย... The Hermit คือฤาษีที่จะมาสอนให้เราเข้าใจชีวิตในวัยผู้ใหญ่ ยิ่งเราอายุมากขึ้นยิ่งต้องนิ่งให้เป็น ต้องมีสติให้มาก และต้องใช้เหตุผลให้ได้ เพราะชีวิตวัยผู้ใหญ่มีภาระและความเครียกมากมายที่ต้องแบกรับ สังเกตุหรือไม่ว่าเมื่อเราพ้นช่วงวัยเรียน เราอาจติดต่อกับเพื่อนน้อยลงเพราะภาระงานและปัญหาชีวิต ส่วนเพื่อนๆเราก็ง่วนอยู่กับความวุ่นวายในชีวิตตนเองเหมือนกัน จากที่เมื่อก่อนเราคิดอะไรก็พูดออกมาหมด หรืออยากทำอะไรก็เสี่ยงไปเลย แต่เราในวัยนี้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราต้องรอบคอบมากขึ้น คิดให้มากขึ้น และทำให้เราเก็บความรู้สึกมากขึ้นด้วย บางทีเรามีทุกอย่างแต่ไม่รู้ว่าใจตัวเองต้องการอะไร The Hermit จึงพาให้ The Fool ตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิตและการมีอยู่ของเรา Wheel Of Fortune คือโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทุกสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่เคยมีอะไรเหมือนเดิม The Fool ต้องเรียนรู้ว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน มีขึ้นก็มีลง มีดีก็มีแย่ ปะปนกันไปไม่อาจเลือกให้มีแต่เรื่องดีๆได้ บางครั้งชีวิตก็มีสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของเรา แม้เราไม่ได้เลือกที่จะเจอแต่ก็ต้องเจอ สิ่งนั้นคือ 'โชคชะตา' Justice คือกฏเกณฑ์ของสังคม การอยู่ร่วมกันได้ก็ต้อง มีกฏหมายมีกติกาเข้ามาเพื่อสร้างความเป็นธรรม และเพื่อให้คนเข้าใจในสิทธิหน้าที่ของตน ดังนั้น The Fool จะเรียนรู้ว่าการตัดสินใจทำสิ่งใดๆลงไปย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย จงไตร่ตรองด้วยเหตุและผลอย่างรอบคอบ
มนุษย์จะมีแต่ความสำเร็จอย่างนั้นหรือ The Hanged Man คือสิ่งที่ทำให้ The Fool รู้ว่าบางครั้งชีวิตก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปอย่างราบรื่นได้ เขาจำต้องหยุดพักอยู่ที่นี่ อดทนและรอเวลา บางครั้งชีวิตก็ไม่ปล่อยให้เราผ่านไปได้ง่ายๆโดยไร้รอยขีดข่วน The Hanged Man คือตัวอย่างของชีวิตที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ความติดขัด บางครั้งเราต้องยอมเสียบางอย่างไป เพื่อให้ได้บางอย่างมา และการสูญเสียคือสิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอ Death เป็นไพ่ที่ดูลึกลับน่าสะพรึงกลัว เสมือนความตายกำลังคืบคลานเข้ามา Death คือสัจธรรมที่เราทุกคนจะต้องเจออย่างแน่นอน เพราะชีวิตย่อมมีการสูญเสีย มีการเปลี่ยนแปลง เราต้องเตรียมใจและเตรียมตัวเพื่อรับมือกับมัน The Fool เรียนรู้ว่าเขาไม่อาจจะได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ และบางครั้งการพัดพรากก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ Death สอนเขาว่าการสิ้นสุดจากสิ่งหนึ่งจะตามมาด้วยการเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ ดังนั้นจงรับมือกับมันอย่างกล้าหาญ ดังนั้นเราจะเห็นว่าการเติบโตของ The Fool เขาได้พบทั้งความสุขแต่ก็มีความทุกข์เช้นกัน Temperance จึงสอนให้เขารู้จักปรับเปลี่ยนเอาสิ่งต่างๆที่ประสบพบเจอมาเพื่อเรียนรู้และปรับตัว ให้ชีวิตมีความสมดุลมากขึ้น ไม่ทำอะไรที่สุดโต่งมากเกินไป แม้เพิ่งผ่านความสูญเสียมาเราอาจทุกข์ใจแสนสาหัส แต่จะนั่งหมดอาลัยตายอยากหรือ เพราะชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปตามเส้นทางของตนเอง เพราะฉะนั้นจงปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และใช้มันเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทำสิ่งที่ดีขึ้น
แต่ชีวิตของคนเราจะสามารถอยู่บนความสมดุลนั้นได้จริงเหรอ? The Fool ดันดั้นท้าทายชะตาชีวิตจนมาพบกับ Devil ซาตานที่ล่อหลอกให้มนุษย์หลงอยู่ในวังวนของกิเลศ ความละโมภ ความอยากอันไม่มีที่สิ้นสุด มีแล้วก็อยากมีอีก ได้แล้วก็อยากได้อีก ดีแล้วก็อยากดีอีกไม่รู้จักพอ จนติดอยู่ได้กับดักของกิเลศนั้น หรือเพียงแต่เรามีสติ ซาตานอาจเป็นจิตใจที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้วก็ได้ อยู่ที่จะแสดงมันออกมาเมื่อไหร่ เมื่อ The Fool หลงอยู่ในวังวนนั้น และเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันเป็นเส้นทางที่จะพาเขาไปสู่หายนะ The Tower คือตัวแทนของความหยิ่งทะนง อัตตา และความทะเยอทะยาน ที่ยิ่งเรามีมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการทำลายตัวเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกันหอคอยที่พลังทลายลงได้ให้บทเรียนที่สองกับเราว่าในบางครั้งเราก็ประสบกับสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เสมอ ความเปลี่ยนแปลงอาจมาไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน อย่าใช้ชีวิตบนความประมาท และหลังจากที่ The Fool ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ชีวิตที่พังทลายไม่ต่างจากหอคอย ก็ได้พาเขาให้รู้จักกับ The Star ซึ่งก็คือความหวัง ในวินาทีที่เราอยู่ในช่วงที่มืดมนและริบหรี่ แต่ความหวังยังสุกสว่างในใจเราเสมอ The Star เธอสอนให้เขามีความหวัง และสอนให้เข้าใจว่าสิ่งที่ได้ผิดพลาดไป สิ่งที่ได้สูญเสียไป จงยอมรับและเรียนรู้มันเยียวยาตนเองให้แข็งแรง แต่ The Moon ก็ได้บอกว่าการก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ต่างๆเหล่านี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย The Fool กำลังดำดิ่งไปที่ความรู้สึกและความละเอียดอ่อนภายในใจ สิ่งที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ The Fool ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความอ่อนไหว เรื่องใดคือเรื่องจริงหรือไม่จริง ความเพ้อฝันนั้นจับต้องได้หรือไม่ ความกลัวและวิตกกังวลถาโถมในใจเขา แต่ The Sun ก็ช่วยทำให้ความมืดครึ้มนั้นจางหายไป แทนที่ด้วยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ The Sun ทำให้ The Fool เข้าใจแจ่มแจ้งถึงความจริงและความชัดเจนในตัวตนของเขา อะไรที่เคยคลุมเคลือก็จะเผยให้เห็นถึงความเป็นจริง อะไรที่เคยมืดมนก็จะเปลี่ยนเป็นความสดใส และเติมพลังงานให้ The Fool อีกครั้ง เหมือนแสงอาทิตย์ที่ขึ้นใหม่ในยามเช้า ขอแค่เริ่มจากการสร้างต้ความมั่นใจ มีพลังใจ มีความกระตือรือร้นคืนความสดใสให้กับ ดังนั้น Judgment คือโอกาสใหม่ เขาได้ฟื้นตัว จิตใจของเขาเบาโล่งเสมือนได้ปลดปล่อยทุกข์อันหนักอึ้งจากสิ่งที่เผชิญมา เขาได้ตระหนักถึงตัวตนและเขาจำเป็นต้องไตร่ตรองมันอย่างถ่องแท้ เพื่อไปเจอ
The World ที่จะสอนให้เขาเข้าใจบทสุดท้ายของชีวิต การเดินทางอันแสนยาวไกลครั้งนี้มันทำให้ The Fool จากคนเขลาไม่รู้ประสา เติบโตเป็นคนที่เข้าใจสัจธรรมของชีวิตอย่างถ่องแท้ The World คือการบรรลุทั้งหมดของชีวิตและสิ้นสุดอย่างสวยงาม
ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความในทุกกรณี กรุณาแชร์บทความเพื่อลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ต้นทางค่ะ
อ้างอิง
https://www.eadeverell.com/the-fools-journey
http://www.learntarot.com/journey.htm
Comments